จากรายงานของ MarketsandMarkets ตลาดพลาสติกสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า คาดว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี ร้อยละ 27.82 โดยมีขนาดตลาด 1.49 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2021 หลายประเทศทั่วโลกกำลังเปลี่ยนไปสู่การขนส่งที่มีสีเขียวมากขึ้น ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ด้านภาษี สิทธิประโยชน์ด้านการเงินโดยตรงและมาตรการสนับสนุนทางอ้อม เป็นปัจจัยที่ผลักดันการจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เช่น ในฝรั่งเศส กำหนดให้มีภาษีจดทะเบียนสำหรับเครื่องยน์เผาไหม้ภายใน (Internal Combustion Engine หรือ ICE) ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้รับยกเว้น
นอกจากนี้ มีมาตรการสนับสนุนสำหรับการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเสีย เช่น รถยนต์ที่ปล่อยก๊าซเสียน้อยกว่า 20 กรัม/กม จะได้รับโบนัสประมาณ 9,400 เหรียญสหรัฐฯ และรถยนต์ที่ปล่อยก๊าซเสียระหว่าง 21 กรัม/กม –50 กรัม/กม จะได้รับโบนัสประมาณ 6,700 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวก็เป็นตัวผลักดันตลาดพลาสติกที่ใช้ในรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยเช่นกัน ปัจจัยที่กีดขวางการเติบโตของตลาด คือ การขาดแคลนสถานีชาร์จแบตเตอรีสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและราคาแบตเตอรีที่สูง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายโดยรวมของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลพลังงานไฟฟ้า
แบตเตอรีของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEV) คาดว่าจะครองตลาดพลาสติกที่ใช้ในรถยนต์พลังงานไฟฟ้า น้ำหนักเบามีบทบาทสำคัญในการทำให้ประสิทธิภาพของเชื้อเพลิงดีขึ้น ปริมาณของพลาสติกที่ใช้ใน BEVs จะมากกว่าที่ใช้ในรถยนต์ไฮบริด เพื่อให้รถยนต์มีน้ำหนักเบา จากข้อมูลของคณะกรรมาธิการยุโรป สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่วิ่งได้ 200 กม. และความจุของแบตเตอรีที่ 200 Wh/กก–300 Wh/กก ค่าประหยัดน้ำหนักที่อนุญาต คือประมาณ 10 เหรียญสหรัฐฯ/กก และเพื่อให้บรรลุค่าประหยัดน้ำหนักดังกล่าว จะต้องให้มีน้ำหนักเบาร้อยละ 40 ดังนั้น จากความจำเป็นที่จะต้องบรรลุเป้าหมายการเพิ่มประสิทธิภาพเชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ BEVs จึงจะมีความสำคัญมากที่สุดในตลาดพลาสติก
โพลิยูริเทน (PU) ใช้อย่างแพร่หลายภายในรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และมีสัดส่วนการใช้ประมาณร้อยละ 15 –20 ของพลาสติกทั้งหมดที่ใช้ในรถยนต์นั่งส่วนบุคคล จากการวิเคราะห์ของ MarketsandMarkets ปริมาณของโพลิโพรพิลีน (PP) ในรถยนต์นั่งส่วนบุคคล จะเพิ่มจาก 0.041 ตันในปี 2016 เป็น 0.054 ตันภายในปี 2021 PP ที่นำไปใช้ในชิ้นส่วนยานยนต์ ได้แก่ กันชน เบาะนั่ง ที่ท้าวแขน ที่พิงศีรษะ และตัวถัง คุณสมบัติประกอบด้วยความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และความเบา ซึ่งทำให้เป็นวัสดุที่เหมาะสำหรับใช้กับยานยนต์
ภูมิภาคเอเซีย – โอเชียเนียคาดว่าจะครองตลาดพลาสติกที่ใช้ในรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และคาดว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีสูงสุดในช่วงเวลาที่คาดการณ์ไว้ จีนและญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการจำหน่ายและการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของโลก
จากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีน (CAAM) การจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในจีนเพิ่มจาก 74,763 คันในปี 2014 เป็น 247,482 คัน ในปี 2015 และรัฐบาลตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็น 5 ล้านคันบนถนน ภายในปี 2020 เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รัฐบาลกำลังออกมาตรการสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและมาตรการสนับสนุน การสร้างสถานีชาร์จแบตเตอรี และมาตรการริเริ่มอื่นๆ ดังนั้น การเพิ่มการจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าก็คาดว่าจะผลักดันตลาดสำหรับพลาสติกที่ใช้ในรถยนต์นั่งส่วนบุคคลด้วยเช่นกัน
ที่มา: plastemart.com
ขอขอบคุณ: plastic.oie.go.th